“ไม่ว่าจะเป็นห้องบ่มผลไม้ขนาดเล็ก หรือโรงบ่มผลไม้ขนาดใหญ่ ที่มีการใช้เอทิลีน (C2H4) หรือคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นตัวช่วยในกระบวนการบ่มผักและผลไม้ เราจะไม่มีทางรู้ความเข้มข้นของแก๊สทั้งสองตัวนี้ได้เลย หากไม่ใช้เซ็นเซอร์สำหรับตรวจวัด โดยทั่วไปเราใช้เอทิลีน (C2H4) ที่ความเข้มข้นระหว่าง 10-1000 ppm ในกระบวนการบ่ม ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับชนิดของผักและผลไม้ ขนาดและปริมาณเป็นหลัก
Ethylene (C2H4) นั้นไม่ได้เป็นอันตรายต่อมนุษย์ก็จริง เพราะเราต้องสูดดมเอทิลีนในปริมาณมาก จึงจะมีผลต่อสุขภาพ แต่เอทิลีน สามารถติดไฟได้ด้วยความเข้มข้นเพียง 2.7% เท่านั้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วเราจะจ่ายเอทิลีนจากถังแรงดันผ่านระบบท่อเข้าไปใน ห้องผมผลไม้ ซึ่งหากมีการรั่วไหลของแก๊สเอทิลีนเพียงเล็กน้อย นอกจากจะไม่ส่งผลดีต่อผักผลไม้แล้ว ยังมีโอกาสที่จะเกิดความเสียหายจากไฟไหม้ได้อีกด้วย
ส่วนคาร์บอนไดออกไซด์หรือ CO2 นั้นถูกปล่อยมาจากผักและผลไม้ภายใต้การบ่มตามกระบวนการทางธรรมชาติ ซึ่งเมื่อห้องที่เป็นระบบปิด มีปริมาณสะสมของ CO2 ที่ผักผลไม้คลายออกมาในปริมาณมาก ก็จะเข้ามาแทนที่ออกซิเจน และส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนในห้องนั้น ไม่เพียงพอต่อระดับการหายใจที่ปลอดภัยของมนุษย์
ในห้องบ่มผลไม้ ทั้งเอทิลีนและคาร์บอนไดออกไซด์นั้น เป็นเรื่องของความปลอดภัยที่จำเป็น
Fruits and vegetables are commonly shipped for long distances from one country to another before they are ripe so they can endure the voyage and remain viable. Upon arrival at their destination, the first order of business is to get them ripe and ready for sale and consumption.
As fruit and vegetables ripen, they release ethylene, a naturally occurring growth hormone. To be profitable and meet demands, commercial fresh produce companies need to speed up the ripening process in a uniform and predictable way, which is achieved by adding more ethylene in a controlled environment. Typically, the fresh produce is placed in air‐tight ripening rooms and ethylene is introduced at concentrations between 10 and 1,000 ppm depending on the type of produce.
หากสนใจเซ็นเซอร์ตรวจวัดเอทิลีนหรือคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ใช้งานในห้องบ่มผลไม้ ติดต่อทีมเทคนิคของทาซาเทคได้ตามช่องทางสะดวกด้านล่างนี้นะคะ”